วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

ปชช. เสี่ยงเจ็บป่วยและเกิดอุบัติภัยสูง

 

          เตือนฤดูหนาวเป็นช่วงที่ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และได้รับอันตรายจากอุบัติภัยต่างๆ แนะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและอบอุ่นอยู่เสมอ รวมทั้งระมัดระวังในการประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับไฟ และการขับรถช่วงที่หมอกลงจัด

          ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว  หลายพื้นที่มีอุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสภาพอากาศหนาวเย็นจำนวนมาก  ในช่วงที่สภาพอากาศหนาวเย็นเป็นช่วงที่ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และได้รับอันตรายจากอุบัติภัยต่างๆ  ที่มักเกิดในช่วงฤดูหนาว เช่น  อัคคีภัยจากสภาพอากาศแห้ง  อุบัติเหตุทางถนนในช่วงที่หมอกลงจัด จึงขอเตือนให้ประชาชนดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและอบอุ่นอยู่เสมอ  โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว   เช่น  โรคหัวใจ  เบาหวาน อัมพาต เป็นต้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น  ควรสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ  เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ  หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ  เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย  ไม่อาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำเย็นจะช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนและการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ  หากเป็นหวัดให้รีบไป พบแพทย์ทันที  เพื่อป้อง กันการติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่อาจแพร่ระบาดเป็นระลอกที่ 2 ในช่วงฤดูหนาว 

          ช่วงเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นช่วงที่มีสถิติการเกิดเพลิงไหม้สูงกว่าปกติ เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวมีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำ ประกอบกับลมพัดแรง หากเกิดเพลิงไหม้จะลุกลามอย่างรวดเร็ว และยากต่อการควบคุมเพลิง  เพื่อป้องกันเพลิงไหม้  ประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวังในการประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับไฟทุกประเภท  ปิดสวิตซ์ไฟ   ถอดปลั๊กไฟ ปิดวาล์วถังก๊าซ ดับธูปเทียนให้สนิท หลีกเลี่ยงการเผาขยะในช่วงที่ลมกระโชกแรง  ไม่ก่อกองไฟผิงให้ความอบอุ่นกับร่างกายใกล้บ้านเรือน  เพราะสะเก็ดไฟอาจปลิวไปติดบ้านเรือน ทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้

          นอกจากนี้  ในช่วงเช้าของฤดูหนาวยังมีหมอกลงจัด ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดี จึงเป็นอีกช่วงหนึ่งที่มักเกิดอุบัติเหตุทางถนนเป็นประจำ  ผู้ขับขี่ควรเปิดไฟส่องสว่างหน้ารถ และไฟตัดหมอก ไม่ขับรถเร็ว เว้นระยะห่างจากรถคันอื่นให้มากกว่าปกติ หากมีฝ้าเกาะตามกระจกให้ลดกระจกรถลง กรณีหมอกลงจัดจนไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจน ให้หยุดรถในบริเวณที่ปลอดภัย และรอจนกว่าทัศนวิสัยจะดีขึ้น จึงค่อยขับรถต่อไป  






ที่มา: กรมป้องกันบรรเทาสาธารณะภัย กระทรวงมหาดไทย


วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคเพิ่มความฉลาด



         ใครที่รู้สึกว่าสมองอ่อนล้า เฉื่อย ชา และความจำถดถอย เรามีวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำให้กับสมองมาฝาก…
1. บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมากและบ่อย เท่า ไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย วิธีบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นครอสเวิร์ดในเวลาว่าง

2. กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่าหลังจาก การกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดี ขึ้นและส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง แปะก๊วยก็มีการยืนยันว่าส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้ขากต้น Periwinkle (ไม้ เลื้อยชนิดหนึ่งที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้นจะช่วยเพิ่มความจำและความจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ให้มากขึ้นได้

3. กินผักและผลไม้สด
เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่สูงในผักและผลไม้สดจะไปทำลายอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากการสะสมเป็น เวลานานของเนื้อเยื่อไขมันอันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และ ช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ อาทิ ผมไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้น สูงที่เรียกว่า Anthocyanidin

4. ลดปริมาณแอลกอฮอล์
เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อย สาระสำคัญในสมองโดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่ง ไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือ เรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย

5. ออกกำลังกาย
ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อน ไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่ เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor) ให้ ทำงานได้ดีขึ้นด้วย

6. จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรา นั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความ สามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้าย ข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือโทรศัพท์มือถือ ก็เหมือสเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูลหรือเพิ่มพื้นที่ว่าง ในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

7. ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความ ถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิด ขึ้น คลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้นซึ่งจะส่งผล ให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิด ให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับ ตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จาก นั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิม

~ จะไขว่คว้าหาความสุขกันอย่างไร ~

       คนเราจะแสวงหาความสุขในชีวิตได้หลายทางหลายรูปแบบ ซึ่งหากจะแบ่งลักษณะที่มาของ ความสุขกันแล้ว อาจจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท ได้แก่
ประการแรก ความสุขที่ต้องซื้อหาด้วยเงิน เช่น ความสุขจากการท่องเที่ยว การกินอาหารตามร้านที่มีบรรยาการดี ๆ การช้อบปิ้ง (รวมถึงการซื้อของที่ชอบสะสม อย่างเช่น เครื่องเพชร เครื่องทอง เครื่องเงิน ของเก่า หรือการซื้อรถยี่ห้อใหม่ ๆ ของนักเล่นรถทั้งหลาย) การใช้เงินซื้อความสะดวกสบาย (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องผ่อนแรงของแม่บ้าน) การดูหนังดูละคร คอนเสิร์ต การซื้อทีวีมาดู ซื้อวิทยุมาฟังเป็นต้น
ประการที่สอง ความสุขที่ไม่ต้องซื้อหาด้วยเงิน เช่น การมีสุขภาพแข็งแรง การอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น สามชิกรักใคร่อาทรซึ่งกันและกัน การได้ทำงานที่ใจรัก การมีเพื่อนร่วมงานที่ดี การไม่เป็นหนี้ การประสบความสำเร็จ ผลทางใจที่เกิดจาการทำบุญ การช่วยเหลือเพื่อมนุษย์หรือสังคม การปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นความสุขทางใจที่สมบูรณ์กว่า
คนที่มีสุขภาพจิตดีมักจะสามารถค้นพบความสุขใจจากสิ่งรอบตัวได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินเสียทอง เพราะพวกเขารู้จักแสวงหาความสุขด้วยการ
๑. ทำชีวิตให้ง่ายและรู้จักยืดหยุ่น ตัดความฟุ่มเฟือย กรอบชีวิตที่เคร่งครัดบางอย่างออกไป เลิกแบบหัวโขนตลอดเวลาเพราะมีแต่จะทำให้หนักโดยใช่เหตุ รู้จักปรับเป้าหมายในชีวิตให้เหมาะสม การตั้งเป้าหมายไว้สูง ถ้าไปไม่ถึงก็เป็นทุกข์ ให้รู้จักลดเป้าหมายในชีวิตลงบ้าง ต่อเมื่อทำได้จึงค่อยเขยิบจุดหมายให้สูงขั้นเพื่อพัฒนาตนเอง
คนที่ชอบใช้ชีวิตง่าย ๆ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่เอาจริงเองจังหรือติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป มักจะเป็นคนที่มักน้อยและให้อภัยคนได้ง่าย ซึ่ง “ ความอยาก ” และ “ ความโลภ ” ย่อมนำไปสู่ความทุกข์ และ “ การสะสมความเคียดแค้นย่อมเกิดภัย แต่การสะสมความรักใคร่ย่อมเกิดสุข”
๒. ความสามารถปรับใจกับสถานการณ์ต่าง ๆ รอบตัวได้ รู้จักมองหาจุดดีในจุดเสีย มองหาจุดเด่นในจุดด้อย มองหาความขบขันในความเครียด มองหาความสนุกในความเหนื่อย หรือเบื่อหน่าย เช่น การเมืองเครียดนักก็อ่านการ์ตูนล้อการเมืองให้เกิดอารมณ์ขัน ถ้างานยุ่งนักหรือเรียนหนักก็พยายาม ทำสิ่งที่ “ ยุ่ง ” และ “ หนัก ” ให้ “ สนุก ” เสีย หรือถึงจะจนเงินแต่ก็สามารถสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นในครอบครัวได้ (จนเงินแต่ไม่จนรัก)
๓. ให้ความสนใจและเห็นใจในความทุกข์ของผู้อื่น จะทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง เพราะยิ่งหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้มองเห็นความทุกข์และสงสารตัวเองมากขึ้นเท่านั้น การมองเห็นความทุกข์ของคนอื่นจะช่วยทำให้ลดความเห็นแก่ตัวลง และมีความอดทนต่อความทุกข์ของตนเองได้มากขึ้น
๔. สร้างบรรยากาศรอบตัวให้มีความสุข ด้วยการสร้างบรรยากาศอบอุ่นภายในบ้าน สร้างเสียงหัวเราะในที่ทำงาน มอบไมตรีจิตมิตรภาพและความหวังดีให้แก่คนรอบข้างในสังคม
ความสุขและความทุกข์อยู่ที่ใจของแต่ละคน ดังคำกล่าวที่ว่า “ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่
ในใจ ” ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะไขว่คว้าหาสุขหรือหาทุกข์มาใส่ตัว เพียงแต่ท่าน
- อย่ายอมเป็นทาสของวัตถุ หรือให้วัตถุมาเป็นนาย และ
- อย่ายอมเป็นทาสของอารมณ์ หรือให้อารมณ์มาเป็นนาย
ความสุขก็อยู่แค่เอื้อมนั่นเอง
* นักจิตวิทยา กองสุขภาพจิต กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

       

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

15 เคล็ดลับดูแลสุขภาพพร้อมรับ “ลมหนาว”

ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนอาจทำให้หลายคนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือผิวแห้งแตกลอกได้ง่ายๆ  วันนี้มีเคล็ดลับดูแลสุขภาพให้คุณพร้อมสู้กับลมหนาวในปีนี้มาฝาก
       
       1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอและครบหมู่ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป
      
       การรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงจะช่วยให้คุณพร้อมสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกรงกันว่าจะระบาดระลอกที่2 ด้วย
      
       
2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่างๆ เนื่องจากจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เท่ากับเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
      
       
3.อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชนที่แออัดยัดเยียด โดยเฉพาะหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่
      
       4
.ล้างมือบ่อยๆ เพราะอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น
      
      
 5.หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม
      
      
 6.หากป่วยแล้วมีอาการไอหรือจาม ควรมีผ้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย
      
       7.ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการจะกำเริบได้ง่ายในฤดูนี้ นอกจากอากาศเย็นที่เป็นสาเหตุโดยตรงแล้ว ก็อาจเนื่องมาจากฤดูหนาวจะมีฝุ่นมาก หรืออากาศหนาวทำให้เราต้องนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน หากแพ้ขนสัตว์ก็จะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น หรือการนอนนานๆ ในฤดูหนาวซึ่งมืดเร็วและสว่างช้า ก็เพิ่มโอกาสที่จะทำให้แพ้ตัวไรฝุ่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่มได้มากขึ้น ดังนั้นควรระมัดระวังสิ่งกระตุ้นเหล่านี้และรักษาร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้
      
       8
.พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นเหมาะกับฤดูกาล หากอยู่ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวก เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย
      
       9
.การอาบน้ำหลังจากตื่นนอนอาจไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่หรือฟอกเพียงบางจุด หรือหากอยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆ อาจไม่จำเป็นต้องอาบน้ำวันละสองครั้งตามปกติ และไม่ควรอาบน้ำนานๆ
      
       
10.ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดจนเกินไป โดยเฉพาะการล้างหน้า เพราะน้ำอุ่นจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฟองมากๆ เพราะจะดึงความชุ่มชื้นไปจากผิว และไม่ควรเช็ดถูผิวแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวลอกมากขึ้น
      
       
11.ทาโลชั่นบำรุงผิวหลังอาบน้ำขณะที่ตัวยังหมาดๆ จะช่วยป้องกันผิวแห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้ และควรทาให้ทั่วร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะแขนกับขาเท่านั้น รวมทั้งส่วนที่เรามักไม่ใส่ใจ เช่น เท้า การทาโลชั่นและสวมถุงเท้านอน จะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มชุ่มชื้น ลดปัญหาส้นเท้าแตกได้อีกด้วย
      
       
ส่วนมือที่แห้งและแตก ก็ควรหมั่นทาครีม หรือโลชั่น เช่นกัน นอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแล้วยังช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วย สำหรับใครที่มือแห้งมากๆ ลองนวดด้วยน้ำมันมะกอกทิ้งไว้สักพัก ล้างออกด้วยน้ำสบู่ แล้วนวดด้วยครีมทามืออีกครั้ง ไม่ช้าริ้วรอยแห้งแตกก็จะหายไป ส่วนผู้ที่ต้องใช้มือทำงานสัมผัสน้ำอยู่ตลอดเวลา เช่น ล้างจาน ซักผ้า ช่วงหน้าหนาวจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำ
      
       1
2.ริมฝีปากที่แห้งแตกก็ควรได้รับการบำรุงและปกป้องเช่นกัน สมัยนี้มีลิปมัน ลิปบาล์ม ให้เลือกใช้มากมาย รวมทั้งชนิด For Men ของคุณผู้ชายด้วย สำหรับผู้ชายที่รู้สึกเขินเวลาใช้ลิปแท่ง อาจเลือกซื้อชนิดตลับไว้พกติดตัวก็ได้ ที่สำคัญ ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากขึ้น
      
       1
3.ในช่วงหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อยๆ เช่นกัน และใช้แชมพูในปริมาณน้อยๆ ก็เพียงพอแล้ว เพราะจะทำให้เส้นผมแห้งแตกปลายได้ง่าย และยังทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไปจนเกิดรังแคได้อีกด้วย สำหรับผมที่แห้งมาก การเลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสำหรับผมแห้งจะช่วยได้ หลังการสระผมอาจใช้น้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆ เพื่อลดไฟฟ้าสถิต ช่วยให้ผมไม่ฟู
      
       
14.บำรุงร่างกายภายนอกกันแล้ว ก็อย่าลืมบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้นจากภายในด้วย โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะน้ำอุ่นซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้น นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้สดให้มากด้วย เพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นจากภายใน
      
       15.การเลือกซื้อเสื้อกันหนาวก็สำคัญค่ะ บางคนเลือกซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง เนื่องจากมีราคาถูก แต่ก็อาจนำเชื้อโรคต่างๆ ติดมาด้วย ควรเลือกให้ดี อย่าให้มีรอยด่างดำและรอยคราบสารคัดหลั่งต่างๆ หรือกลิ่นอับชื้นติดอยู่ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคได้ เช่น โรคผิวหนัง โรคติดเชื้อ เชื้อรา หรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ก่อนนำไปสวมใส่ควรต้มในน้ำเดือด และซักให้สะอาด แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งสนิท